หลักทรัพย์ดี ราคาถูก บางทีก็ไม่มีมีปรมาจารย์มานั่งบอก เพราะไม่เช่นนั้น เขารีบคว้าไว้ก่อนที่คุณจะรู้ตัวแล้วเสียอีก ดังนั้น การเทรดไม่จำเป็นต้องฟังใคร เชื่อใคร แต่จงทดลองกับตัวเอง แล้วหาจุดซื้อ จุดขายที่เหมาะสมต่อระดับความเสี่ยงของตัวเองก็พอ 

ในการนี้ คุณต้องเรียนรู้วิธีซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ราคากำลังสูงปรับขึ้น ในบทความนี้ เราจะแจกแจงกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาดและทำกำไรจากความผันผวนของตลาด ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์ที่ช่ำชองหรือเพิ่งเริ่มต้น เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณนำทางทั้งขาขึ้นและขาลงของโลกการลงทุนได้อย่างมั่นใจ ด้วยกลยุทธ์ Buy on Dip ซื้อของดี ในยามที่ราคาถูกลง

Buy On Dip คืออะไรในการเทรดเทคนิค

เมื่อราคาสูงขึ้น เป็นเวลาที่ดีที่จะซื้อในช่วงที่ราคาปรับลง นี่เป็นเพราะในช่วงที่ราคาสูงขึ้น ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการซื้อในช่วงที่ราคาลดลงจะช่วยให้คุณดำเนินการได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แน่นอน คุณต้องระวังไม่ให้เลเวอเรจมากเกินไป แต่ถ้าคุณรักษาตำแหน่งให้เล็กไว้ได้ การซื้อในช่วงขาลงอาจเป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้ในระยะยาว

แนวคิดพื้นฐานเบื้องหลังของการ Buy on Dip นั้นไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไป Buy on Dip คือเทคนิคการเข้าซื้อหลักทรัพย์เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลงระยะสั้น ๆ แต่คุณมองเห็นว่ามันมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ซึ่งหมายความว่าคุณกำลังมองหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

กล่าวคือ ในช่วงที่หุ้นนั้นราคากำลังขึ้น จะมีบางเวลาที่มีเหตุการณ์มากระทบทำให้ราคาลดลงอย่างกระทันหัน ซึ่งช่วงจังหวะแบบนี้ อาจเป็นการดีที่จะรีบ Buy on Dip ก่อนราคาจะกลับมามีเสถียรสภาพหรือปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อตลาดตกต่ำ หุ้นเหล่านี้จะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้และซื้อในขณะที่ราคาต่ำ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น คุณจะทำกำไรได้จากการถือครองสินทรัพย์นั้น สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการซื้อในช่วงขาลงจะได้ผลก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่ดีที่หุ้นจะขึ้นอีกครั้งในที่สุด มิฉะนั้นคุณอาจลงเอยด้วยการติดดอย จากการที่ซื้อแล้ว ราคาลดลงเรื่อย ๆ และไม่มีวี่แววว่าจะกลับตัว

Buy On Dip แต่ถือยาว ๆ ก็ได้

การ Buy on Dip นั้น ไม่จำกัดแต่เพียงการเก็งกำไรระยะสั้น ๆ เท่านั้น เพราะในการลงทุนระยะยาว เมื่อคุณหาหุ้นพื้นฐานดีพร้อมเติบโตได้แล้ว การเข้าซื้อในยามที่ราคาถูกเช่นนี้ มักเป็นข้อได้เปรียบที่จะช่วยให้ต้นทุนหุ้นในพอร์ตถูกกว่า คล้าย ๆ กับการ DCA เฉลี่ยต้นทุน

การ Buy on Dip นั้น คุณไม่ได้จะขายที่จุดสูงสุด ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดสูงสุดคือเมื่อใด แต่คุณมักจะบอกได้เมื่อราคาเข้าใกล้จุดสูงสุด ในทางกลับกัน การ Buy on Dip จะเป็นการช้อนซื้อในช่วงขาลง ทำให้คุณจะได้รับราคาที่ดีที่สุด และสุดทา้ย อย่าโลภมาก คอยแต่จะรอว่าจะขายตอนที่ราคาไปสูงที่สุด ก็เช่นเดียวกันคือ ไม่มีใครรู้ว่าเท่าไรคือสูงที่สุด และเมื่อไรจะไปถึงราคานั้น

จากตัวอย่างกราฟราคาด้านบน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาดัชนี S&P 500 ในช่วง 2 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2563-2565 ราคาดัชนีในช่วงเดือน มี.ค. 2563 ตกลงมาเหลือต่ำกว่า 2,500 แต่เทรดเดอร์คนหนึ่งมองเห็นโอกาสของความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตราคาดัชนี S&P 500 ต้องเพิ่มขึ้นอีกแน่ ๆ เขาจึงเข้าซื้อไว้ 

ถ้าหากในปี พ.ศ. 2563 เขายังถือไว้อยู่ ก็มีโอกาสที่จะทำกำไรได้ถึง 113% หรือบางท่านอาจจะถือหลักทรัพย์นั้นคอยไว้ก่อน เมื่อถึงระดับราคาที่พอใจ จากการคิกคำนวณอัตราผลตอบแทน ROI ที่เราได้กล่าวถึงไว้ว่าเป็นเครื่องช่วยประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ก็สามารถขายได้เลยเช่นกัน

การ Buy on Dip นั้นคือโอกาสที่คุณจะได้ราคาดี ๆ แล้วเมื่อถึงราคาหนึ่งที่พึงพอใจ ก็อย่าช้า ให้รีบขายทำกำไรเลยทันที

หุ้นดี ๆ ที่น่า Buy On Dip

เมื่อพูดถึงการค้นหาหุ้นที่ดีที่สุดที่จะซื้อในช่วงขาลง มีบางสิ่งที่คุณต้องพิจารณา อันดับแรก คุณต้องหาหุ้นที่ Undervalued และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ประกอบกับการพิจารณาสภาวะตลาดปัจจุบันและตรวจสอบให้แน่ใจว่าหุ้นนั้นไม่ได้มีราคาสูงเกินไป สุดท้ายคุณต้องติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมที่จะขายหากราคาเริ่มลดลง

เราไม่ขอแนะนำว่าหุ้นตัวไหน หรือหลักทรัพย์อะไรที่คุณควร Buy on Dip เพราะพื้นฐานความชอบ และสไตล์การลงทุนของเราแต่ละคนต่างกัน หลักสำคัญในการค้นหาหลักทรัพย์ที่จะ Buy on Dip คือพิจารราจากสมรรถภาพการเติบโตอีกในอนาคต อย่าเล่นสวนทางกับตลาด

หากคุณสามารถหาหุ้นที่ตรงตามเกณฑ์เหล่านี้ได้ทั้งหมด คุณอาจพบตัวเลือกที่ดีสำหรับการซื้อในช่วงขาลง อย่างไรก็ตาม ข้อสำคัญคือ อย่าวางใจกับหุ้นหรือหลักทรัพย์ใดเพียงหนึ่งเดียว เพราะไม่มีใครล่วงรู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปทางไหน การบาลานซ์และติดตามความเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ จะช่วยให้คุณเฟ้นหาหุ้นดี ๆ ในการ Buy on Dip ได้ไม่ยาก

ข้อจำกัดของเทคนิค Buy On Dip

ในขณะที่การซื้อช่วงขาลงอาจช่วยลดต้นทุนของสถานะและเพิ่มผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่การขาดทุนขยายใหญ่ขึ้น ในบางครั้ง ผู้เข้าร่วมตลาดอาจแสดงปฏิกิริยาเกินจริงเมื่อขายหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามพวกเขาสามารถมีเหตุผลในการขายได้เช่นกัน

โดยทั่วไป เมื่อราคาหลักทรัพย์ลดลง มีเหตุผลที่ถูกต้องว่าทำไมราคาจึงลดลง สำหรับหุ้น อาจเป็นผลมาจากรายได้ที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ ความไม่แน่นอนภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้น หรือสาเหตุอื่น ๆ อีกลายประการ ในฐานะนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ สิ่งสำคัญคือต้องระมัดระวังในการช้อนซื้อและมีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมหลักทรัพย์ถึงมีราคานั้น ณ เวลานั้น

นักลงทุนและเทรดเดอร์จำนวนมากใช้การซื้อขาลงตามความคิดอุปาทานที่ว่าราคาควรกลับไปสู่ระดับก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป มีตัวอย่างมากมายของบริษัทที่ล้มละลาย ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้เป็น 0 ดอลลาร์/หุ้น

Indicator น่ารู้ ช่วยในการ Buy On Dip

เมื่อพูดถึงเทคนิกการ Buy on Dip แล้วละก็ หนึ่งในตัวชี้วัดที่ดีที่สุดที่จะใช้คือ Relative Strength Index (RSI) เพราะ RSI จะใช้ในการวัดขนาดและความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคา และเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของสภาวะ Over Bought และ Over Sold ในตลาด

หาก RSI สูงกว่า 70 แสดงว่าตลาดมีการ Over Bought และราคาอาจถึงกำหนดปรับฐาน ในทางกลับกัน หาก RSI ต่ำกว่า 30 แสดงว่าตลาดมีการ Over Sold และราคาอาจถึงกำหนดสำหรับการฟื้นตัว

อีกตัวบ่งชี้ที่ดีที่จะใช้ในเทคนิคการ Buy on Dip คือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คอนเวอร์เจนซ์ไดเวอร์เจนซ์ (MACD) MACD วัดความแตกต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 เส้น และเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของโมเมนตัมในตลาด หากสัญญาณ MACD เป็นบวกและเพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าราคากำลังได้รับโมเมนตัมเป็นขาขึ้น ในทางกลับกัน หาก MACD ติดลบและร่วงลง แสดงว่าราคากำลังสูญเสียโมเมนตัมไปสู่ขาลง

บทส่งท้าย

โดยสรุปแล้ว การเทรดในช่วงขาลงด้วยเทคนิกการ Buy on Dip เป็นส่วนสำคัญของการเทรดสร้างกำไรระยะสั้นก็ได้ หรือซื้อถือยาว รอราคาที่พอใจก็ได้ การรู้ว่าเมื่อใดควรซื้อและหลักทรัพย์ใดควรค่าแก่การซื้ออาจเป็นความแตกต่างระหว่างการทำกำไรมหาศาลในระยะยาวหรือลงเอยด้วยการขาดทุนทางการเงิน โดยการดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทก่อนการลงทุน การวิจัยแนวโน้มในตลาดและทำตามสัญชาตญาณเอง คุณจะมีความพร้อมที่ดีกว่าในการเทรดที่ทำกำไรในช่วงเวลาที่ราคาสูงขึ้น